นิ่งได้ตามสคริปต์บท “นางเอก” เลยก็แล้วกัน
แม้กับคำถามแทงใจดำ มีเสียงร่ำๆจากพวกทรยศที่กลับใจ
พรรคภูมิใจไทยอยากกลับมาร่วม
งานกับพรรคเพื่อไทย
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ยังตอบแบบนิ่มๆ พรรคเพื่อไทยต้อง
รอฟังประชาชนก่อนว่า อยากให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
หรือไม่ ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะตอบคำถาม
และย้ำกันอีกครั้งกับประเด็นที่ว่า มีพรรคใดต้องห้ามในการ
ดึงเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ “ยิ่งลักษณ์” ก็ออกตัวแค่ว่า “อย่า
เพิ่งพูดดีกว่า ยังไม่ถึงเวลา”ไม่รีบหุนหัน ตอบแบบฟันธงให้
เสียอาการ
แม้ตามรูปการณ์จะเดาคำตอบในใจได้ ในอารมณ์ที่
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย
ในฐานะแกนนำเสื้อแดง นปช. ประกาศกร้าวบนเวทีปราศรัย
รับประกันว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่มีทางร่วมงานกับพรรคภูมิใจ
ไทยแน่นอน ขอให้ประชาชนคนเสื้อแดงสบายใจได้
พูดกันแรงถึงขั้นจะเขวี้ยงแจกันกลับทันที ถ้ามีเสียง
“เนวิน ชิดชอบ” ขอเป็นใบเฟิร์นประดับแจกัน “ยิ่งลักษณ์”
แล้วก็เป็นนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
แถลงย้ำชัดถ้อยชัดคำ โดยพื้นฐานทางอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน
จึงเป็นไปได้ยาก หรือถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่
พรรคเพื่อไทยจะดึงพรรคภูมิใจไทยมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล
คำตอบสุดท้ายจากทีมงานสายฮาร์ดคอร์พรรคเพื่อไทย
จบข่าว “นายใหญ่” ปิดประตูลั่นดาลใส่ “เนวิน”
ตามลีลาของคนยี่ห้อภูมิใจไทยที่เดินหน้าขอฉันทมติจาก
ประชาชนที่มาฟังปราศรัย หยั่งกระแสกลับร่วมหอลงโรง
กับค่ายของอดีต “นายใหญ่” จึงเป็นได้แค่ลิเกโรงใหญ่
โหนกระแส “ลมใต้
ปีก” ของ “ยิ่งลักษณ์”
ในสถานการณ์ที่สะท้อนว่า กระแสความนิยมพรรคเพื่อไทย
ไหลแรงจริงๆ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ยากที่จะฝืนยืน
ต้านทาน โดยไฟต์บังคับของค่ายการเมืองขนาดกลางและ
ขนาดเล็ก จำเป็นต้องเดินเกมยุทธ์ประคองตัวรอด
ขอแค่รักษาพื้นที่ยืนในสมรภูมิเลือกตั้ง
โดยจังหวะบีบให้พวกตัวประกอบต้องเล่นบท “หลิวลู่ลม”
ในอารมณ์ “มั่วนิ่ม” แบบที่นายภิรมย์ พลวิเศษ ผู้สมัคร
ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ประกาศหน้าตายเลยว่า
“ส่วนตัวมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง
และได้ตั้งรัฐบาลใหม่ โดยคุณยิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรี
และขอยืนยันว่าผมและพรรคภูมิใจไทยจะเข้าร่วมกับ
พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลแน่นอน”
นาทีนี้ใครก็ต้องแอบอิงกระแสยี่ห้อเพื่อไทย ไม่เว้นแม้แต่
“คู่อาฆาต”
แต่ก็อีกนั่นแหละ ลีลาใครก็ลีลามัน โดยเหลี่ยมของนัก
เลือกตั้งอาชีพ ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เข้ามา
เป็นผู้แทนราษฎรก่อน
อย่างอื่นค่อยไปพลิกลิ้นกันตอนหลัง
ทั้งหมดทั้งปวง ลำพังแค่อาศัยลมใต้ปีกของพรรคเพื่อไทย ก็คง
ยังไม่พอที่จะประกันความอยู่รอดปลอดภัยของค่ายเอสเอ็มอี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีเป้าหมายไปถึงการจองตั๋วพรรคร่วมรัฐบาล
เอาเป็นว่า แม้แต่พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินที่ว่ากันว่าอยู่ในจุด
“ลอยตัว” เคลียร์สายรอเทียบเชิญได้
แต่นั่นก็หมายความว่า ต้องทำตัวเลขให้เข้าเป้าด้วย
ไม่เช่นนั้นก็จะมีแค่โอกาสดี แต่ไม่มีแต้มไปแลกตั๋วเข้าร่วมรัฐบาล
ก็จบกัน
มันจึงเป็นอะไรที่กดดันทีมงานเบื้องหลัง นอกจากยุทธศาสตร์
“สไนเปอร์” ล็อกพื้นที่เป้าหมายแบบหวังผลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
เลือกส่งเฉพาะมวยเกรดเอที่ใส่แต้มล่วงหน้าได้
ยังต้อง “ทำการบ้าน” มากกว่าเดินเกมการตลาดชิงกระแส
แย่งพื้นที่ข่าวไปวันๆ
ที่สำคัญเลยก็คือนโยบายที่ต้องเปิดมา “แย่งส่วนแบ่งตลาด”
กับประชานิยมต้นตำรับนายห้างตราดูไบห่อของพรรคเพื่อไทย
และต้องแตกต่างออกไปจากประชานิยมแบบแจกสะบัดของ
ยี่ห้อประชาธิปัตย์
ก็อย่างที่ล่าสุด นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติ-
พัฒนาเพื่อแผ่นดิน ต้องละจากฐานที่มั่นโคราช มาปักหลัก
ที่เมืองกรุง มุ่งตีปี๊บประชานิยม กระตุ้นยอดขายด้วยนโยบาย
“เงินออมคูณ 2 อายุ 20 ปีมีเงินล้าน” เพิ่มหลักประกันให้เด็ก
ไทยที่เกิดใหม่ รวมไปถึงการเว้นภาษีรายได้ส่วนบุคคล 5 ปี
ให้บัณฑิตใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงาน ฯลฯ
(20 ปี ค่าของเงิน ก็ตกลงไปพอ ๆ กันนั่นแหละ)
ปล่อย
โปรโมชั่นสู้ อย่างน้อยก็หวังให้เตะหูเตะตากันมั่ง.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/column ... n/pol/wikroh/175876