หน้าแรก เว็บบอร์ด


สั่งพิมพ์

เปิด "หนังสือชีวิต" เต๋า สมชาย เข็มกลัด

เปิด "หนังสือชีวิต" เต๋า สมชาย เข็มกลัด




            "...เราสามารถกำหนดชีวิตได้บางช่วง แต่บางช่วงไม่ได้ เพราะข้างบนเขาลิขิต..."

          บท "จิรัสย์" ในหนัง โอปปาติก คือผลงานล่าสุดของ "เต๋า-สมชาย เข็มกลัด" ที่เขาออกจะภาคภูมิใจไม่น้อย ไม่ใช่เพราะเขาได้บทเด่น เล่นดี ฯลฯ แต่เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่มีนักแสดงนำถึง 8 คนแล้ว งานชิ้นนี้ยังมี "คำสอน" มากมายให้เก็บเกี่ยว


            "จิรัสย์" ในเรื่องคือผู้มีชีวิตอมตะ และเพราะความเป็นอมตะนี่เองที่ทำให้มีเรื่องวุ่นวายตามมา ซึ่งจะว่าไปเต๋าบอกว่าส่วนหนึ่งของจิรัสย์ก็เหมือนเขา ในแง่ที่ชีวิตนั้นเหนื่อยเหลือเกิน โดย "จิรัสย์" จะถูกมารตนอื่นซึ่งอยากมีชีวิตเหมือนเขา ตามฆ่า เพื่อชิงความเป็นอมตะไป ขณะที่ตัวของเขาก็มีมารผจญ


            อย่างไรก็ดี อดรู้สึกดีใจไม่ได้ ว่าอย่างน้อยเขาก็โชคดี ที่ไม่มีความเป็นอมตะ

           "ตายเถอะ" เพราะการไม่มีวันตาย มันเหนื่อย" ขนาด "ตายได้" ในชีวิตเดียว ไม่ใช่ถูกฆ่าตายแล้วก็เกิดใหม่ ตายแล้วเกิดใหม่ เหมือน "จิรัสย์" เต๋ายังพูดชัดๆ ว่า เหนื่อยจะแย่"


            "พี่ดู๋ (สัญญา คุณากร) เคยบอกผมว่า ถ้าสมชายไม่เป็นนักแสดง นักร้อง ต้องไปเปิดร้านขายวิดีโอ เพราะเรื่องราวในชีวิตเยอะ เอามาทำวิดีโอขายให้คนอื่นดูได้เลย" ฟังแล้วเราอดยิ้มไม่ได้

          แต่ "มาเป็นแบบผม ไม่ได้สนุกนะครับ" เต๋าอุทธรณ์  


            "อย่าง จิรัสย์ เมื่อไหร่จะตายซะที เจ็บเหลือเกิน เดี๋ยวก็ถูกฆ่า เดี๋ยวก็ถูกฆ่า ก็เหมือนผมที่เหนื่อยเหลือเกิน เมื่อไหร่จะเลิกวุ่นวายกับผมซะที พอวุ่นวายผมก็เจ็บปวด แล้วเดี๋ยวก็วุ่นวายอีก แล้วปกติเขาบอกว่าเวลาที่คนเราจะทำอะไรสักอย่างจะต้องมีมารผจญ แต่หลังๆ ผมเริ่มผจญมารแล้ว รำคาญ" ประสาคนตรง เต๋าก็พูดแบบไม่อ้อมค้อม


            เรื่องที่ต้องผจญนั้น สำหรับคนที่ติดตามข่าวสาร คงรู้ว่าที่ผ่านมาเขามีทั้งเรื่องที่ "ไม่ถูก" กับผู้คนต่างๆ, ข่าวค(ร)าวเรื่องชู้สาว ชนิดที่เขาออกปากว่าเดี๋ยวนี้แม้แต่สุนัขตัวเมียยังไม่กล้าเข้าใกล้ รวมไปถึงเรื่องที่มีคนเอาดวงชะตาเขาไปทำนายโดยไม่ขออนุญาต และผลจากการดูก็ออกมาแบบไม่น่าพอใจ

            "สมเด็จพระวันรัตน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์ พระอุปัชฌาย์ผมเขียนคำว่า เห็นเสือหมอบอย่าคิดว่าเสือมันไหว้ ถ้าเผลอไปเล่นกับมัน มันจะกินจนไม่เหลือแม้แต่ขน ผมเป็นเด็กเทพศิรินทร์ผมก็ต้องยึดถือ"

            แสดงว่าจาก "เสือหมอบ" จะกลายเป็น "เสือลุกขึ้นสู้"?


            "เปล่า แต่อย่าไปแหย่มันมาก เพราะบางอย่างมันก็มีสิทธิจะทวงคืน แต่ถ้าผมจะทวงคืนทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต คงไม่มีเวลาทำงาน มันเยอะเหลือเกิน แต่คนไม่ค่อยมาคิดในแง่ของผม มองแต่ในด้านที่ผมทวง ทั้งๆ ที่ผมไม่ทวงก็เยอะ


            ผมจะทวงคืนในเรื่องชีวิตส่วนบุคคล ที่ไม่ได้ให้ใครมาดู หรือทำนาย เพราะพ่อแม่ผมอายุเยอะแล้ว เป็นโรคหัวใจ เวลาเจอเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับลูกชาย ท่านกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถ้าเขาหัวใจวายเป็นอะไรขึ้นมา ใครรับผิดชอบ ก็ไม่มี


            ผมรู้ ว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่เขาต้องหยุด ถ้าเขาหยุด ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าเขาไม่หยุด ผมจะหยุดเขาด้วยวิธีของผม ผมเตือนคุณแล้ว มาอย่างสันติภาพ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก มันก็จะเลือนหายไปตามกาลเวลา ดังนั้น มันไม่ได้อยู่ที่ผม อยู่ที่เขา


            อย่าทำอีก อย่าเอาชื่อผมไปหากิน ผมนิสัยผู้ชาย ไม่จุกจิก ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านและไม่อยากให้ใครมายุ่งเรื่องของผม


          ผมเป็นคนไม่ดีตรงที่พูดตรงๆ แต่ไม่เคยยุ่งเรื่องของคนอื่นเลยนะ ใครจะเป็นอย่างไรก็ไปเหอะ ใครมาเล่าอะไร ผมฟัง แล้วถามว่า คุณเห็นเหรอ เปล่า เขามาเล่าให้ฟัง อ้าว! เคยเล่นเกมตอนเด็กๆ ไหม ที่ให้คนนั่งเรียงกันแล้วพูดต่อๆ กันไป พอกลับมาใหม่คนละเรื่องเลยนะครับ ขนาดนั่นเป็นเรื่องเล่นสนุกๆ นะ แต่นี่เป็นความสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น คุณหากินบนความทุกข์ของคนอื่น ยิ่งกว่าทำนาบนหลังคนอีก


            ผมไม่ได้เป็นคนที่ใครแหย่แล้วขึ้น แต่นี่เขาเรียกล้ำเส้น มันเป็นเส้นบางๆ ที่คอยจะขาด สมมุติว่าเส้นนี้ยาวฟุตหนึ่ง แล้วจุดที่ขาดอยู่ที่ตรง 6 นิ้ว ถ้าไม่แทงจุดนี้ ก็ไม่ขาด แต่คุณตั้งใจให้มันขาดตรงจุดนี้ ก็ทำแรงๆ แล้วพอแรงปุ๊บก็ขายได้"


            มองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า?

            "ไม่ บอกมองในแง่ปกติต่างหาก คนเรามักชอบมองโลกในแง่ดี แล้วเวลาเจอเรื่องร้ายๆ ถึงรับไม่ได้"

            อย่างไรก็ดี ในโลกที่เจอเรื่องร้ายๆ มามากมาย สมชายบอกว่าที่ผ่านมาเขาก็ได้เจอคนดีอยู่เหมือนกัน ทั้ง "นิรุตติ์ ศิริจรรยา" ที่ให้ทั้งความรู้ด้านชั้นเชิงการแสดง และมุมมองการใช้ชีวิต กับ "อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" คนที่เขารู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว
  
            "ป๋าอ๊อฟเป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกว่า เวลามีเรื่องอะไรเขาจะมาก่อน แล้วออกตัวว่าถ้าน้องเขาไม่ผิด เขาจะไม่ยอม ผมชอบคำนี้ คนเรามันต้องมีพรรคพวกพี่น้อง ป๋าอ๊อฟดูแล ตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน เข้ากับทุกคนได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะซี้กับเขาได้หมดนะครับ คนอย่างนี้เลือกที่จะซี้ เลือกที่จะสนิท เหมือนผม ที่บางคนผมจะบอกว่าซี้ แต่บางคนก็จะบอกว่าแค่คนรู้จัก แต่อย่างป๋าอ๊อฟผมนับถือ เพราะการอ่านคนมันจะใช้ได้ตอนที่เราลำบาก เหนื่อยที่สุด หิวที่สุด เบื่อที่สุด ซวยที่สุด เจ็บที่สุด แล้วเราจะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร"


            "นอกจากพงษ์พัฒน์กับครอบครัว เต๋าบอกว่าคนที่คบกันดี คุยกันได้เป็นปีไม่มีจบ ยังมี "นีโน่-เมทะนี บุรณศิริ, หนุ่ม-สันติสุข พรหมศิริ" อยู่ด้วย ถ้าอยู่กองเดียวกัน วันๆ ไม่ต้องถ่ายเลย คือถ้าไม่นับ 5 4 3 2 ไม่หยุดคุย แล้วคุยอะไรไม่เคยขัดกัน เหมือนกับชาตินี้เราทำบุญร่วมกันมา" เขาบอกยิ้มๆ

            ก่อนจะบอกว่า ความจริงก่อนหน้านี้เขาเคยมีเพื่อนคุยดีๆ ด้วยกันแบบนี้หลายคน แต่หลังจากเกิดเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต ก็เริ่มมีการคัดออก แล้วไม่เปิดรับสมัครใหม่


            'ไม่ใช่ว่าไม่มีใครคบ แต่ผมไม่อยากจะคุย คุยไปเพื่ออะไร" เขาย้อน

            ถามไปตรงๆ ว่ากับเรื่องราวที่ผ่านมา ตอนนี้บางคนเริ่มมองว่าเขานั้นเป็นคนประเภท "แบดบอย" และไม่ค่อยจะเชื่อมั่น ศรัทธาในตัวเขา


            ฟังแล้วเต๋าตอบทันทีว่า ไม่เป็นไร และใครจะมองเขาอย่างไงก็ได้ แต่บอกได้เลยสำหรับตัวเองแล้ว อย่างไรซะก็เชื่อมั่นว่าตัวเองมีค่าเสมอ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะสู้ต่อไป

            เด็กชายซึ่งเริ่มต้นทำงานตั้งแต่อายุ 12 ด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟ และเล่าเรียนมาได้ด้วยการส่งเสียของพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง บอกว่า ถึงตอนนี้ เมื่อเขาเลี้ยงตัวเองได้ มีงานที่ดีทำ เขาก็นำเงินส่วนหนึ่งไปส่งเสียเด็กที่ลำบากกว่าให้ได้เล่าเรียนเหมือนกัน บอกด้วยว่า ที่ผ่านมาเขาเจอะเจอกับปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง ล้มลุกคลุกคลานมาก็หลายครั้ง และทุกครั้งเขาจะบอกตัวเองเสมอว่าต้องสู้


            "ผมว่ามันเป็นจังหวะของคน ซึ่งถ้ามันหนักนักก็หยุด เหนื่อยก็พัก เจ็บก็ไปหาหมอ แล้วค่อยยืนใหม่ แต่ผมไม่เคยท้อ แล้วไม่ยอมแพ้ ชีวิตผมจึงไม่เคยถอยหลัง แค่หยุด แล้วไม่มีขาขึ้น ขาลง อันนั้นมันบันไดเลื่อน ลิฟต์ แต่นี่มันเต๋า"


            หลังจากผ่านศึกมาหลายสนามรบ ถึงวันนี้เต๋าบอกว่าเขามีความสุขมากขึ้น

            "สำหรับคนที่เครียด เหนื่อย ปัญหาเยอะ ลองอยู่เงียบๆ คนเดียว แล้วคิด..." นี่เขาแนะนำ ประสาคนที่ผ่านมาก่อน "อย่าให้คนอื่นช่วยคิด เพราะความคิดนั้นเป็นของคนอื่น แล้วถ้าแก้ปัญหาด้วยคำตอบของคนอื่น แล้วผิด มันจะเซ็ง"


            "ผมเป็นคนรักสิ่งที่ผมทำ รักครอบครัว ชอบทำอะไรคนเดียว คิดคนเดียว ซึ่งบางทีก็ผิดเยอะ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่อยากบอกทุกคนที่ผิดหวัง และไม่มีกำลังใจ ให้ศรัทธาในตัวเอง เพราะถ้าคุณมีความศรัทธา ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริง คือถึงแม้ว่าคุณพูด 100 ครั้ง ทำ 100 ครั้งแล้วทำไม่ได้ ก็ต้องมีครั้งที่ 101 ที่ทำได้"

            ในฐานะคนดังที่มีเรื่

องราวมากมายให้พบผ่าน ดังนั้น จึงไม่แปลกที่มีสำนักพิมพ์หลายแห่งชวนเขาทำหนังสือเล่าเรื่องราวในชีวิต หากเขาปฏิเสธ


            "ผมจะทำเล่มเดียว คือหนังสืองานศพ อยากรู้อะไรลึกๆ เดี๋ยววันตายจะแจก แล้วผมเขียนเหมือนพินัยกรรมเล็กๆ ให้อาจารย์ที่เทพศิรินทร์ไว้ บอกว่าถ้าผมเป็นอะไร แล้วจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ดึงออก ให้ผมได้ไปสบาย ถ้าอยู่แล้วเป็นภาระคนอื่น ไม่เอา ไปเกิดใหม่ จบไปเป็นตำนานดีกว่า"


            สั่งเสียไว้ถึงขนาดว่าแม้ร่างกายเขาจะบริจาคไปหมดแล้ว แต่ก็อยากให้นำชื่อของเขาไปเผาที่เมรุวัดเทพศิรินทร์ทราวาส นี่ขนาดอายุแค่ 33 ปีเองนะ ก็ความตายเป็นวิชั่น เป็นการมองไปข้างหน้า ถึงจะไกล แต่ถ้าทำไว้ก่อน จะไปสบาย แล้วที่ผมมองถึงวันสุดท้าย เพราะผมพอแล้ว และตอนนี้ถ้าผมตาย ครอบครัวผมก็รวย เพราะผมทำประกันไว้เยอะมาก


            พอขอให้มองถึงชีวิตที่ผ่านมา เต๋านิ่งไปนิด ก่อนบอกว่า เราสามารถกำหนดชีวิตได้บางช่วง แต่บางช่วงไม่ได้ เพราะข้างบนเขาลิขิต และหนังสือที่ผมอ่านบ่อยที่สุด คือหนังสือชีวิตของผมเอง เป็นหนังสือแห่งชีวิต"


            "ที่เสี้ยวหนึ่งของหนังสือนั้น คือสิ่งที่คุณเพิ่งได้อ่านมา"

Sodazaa.com เปลี่ยนเป็น " Sodazaa.cc"

TOP

123

จรดปลายเท้าเลยงัย เต็มๆๆ

TOP

เบื่อ

TOP

ไม่น่าไปก่อเรื่องเล้ยยย

TOP

กบน้อย

จงอยู่ในโลกของคุณ อย่ามายุ่งกับสังคม เพราะสังคมมีกฎ กติกา ซึ่งคุณไม่เห็นด้วย
ดังนั้นจงอย่ามาเป็นคนของสังคมเลย
  แล้วก็จะไม่เกิดเรื่อง

TOP

มอบให้นายเต๋าครับ

TOP