หน้าแรก เว็บบอร์ด


สั่งพิมพ์

คืนรับน้อง

คืนรับน้อง

อันนี้พีชไม่รู้ว่าเรื่องจริงรึเปล่า เพราะว่าเกดไปเจอมาจาก คอมพ์พี่ชาย

.....ชีวิตการศึกษาระดับอุดมศึกษา ในมหาวิทยาลัยนั้น


เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการสู้และดำเนินชิวิตที่ถูกต้องในสังคมทีเดียว


มันมีทั้งสุขและทุกข์ สมหวัง และไม่สมหวัง ยามทุกข์คือ สอบตก


ทำหน่วยกิตไม่ครบตามระเบียบหลักการศึกษาที่วางไว้ หรือทุกข์อีตอนดู

หนังสือสอบ


ส่วนสุขนั้นก็คงจะได้แก่


สอบผ่านได้รับปริญญาเป็นเกียรติแก่ตัวเองและวงศ์ตระกูล


นั่นแหละแต่อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ต่าง ๆ


นานาที่เกิดมาไม่เคยพบพานก็จะหลั่งไหลมาทดสอบธาตุแท้ ของผู้ที่เข้า

สู่ภาย


ในรั้วมหาวิทยาลัย


ประสบการณ์สอนให้ทำตัวได้ทั้งดีและเลวก็ต้องใช้ดุลพินิจวิจารณญาณ

เลือกเอามาปฏิบัติ


ให้มันสมกับคำว่า ปัญญาชน


แต่สิ่งทุกคนต้องเคยผ่านมาแล้วในระบบการศึกษานี้ก็คือการรับน้องใหม่


ซึ่งเป็นประเพณีที่กระทำสืบกันมา มีทั้งแบบ ชนิดเบา ๆ หรือหนัก ๆ


ตามแต่วิทยาลัยนั้น และรุ่นพี่จะปฏิบัติ


  .....ผมเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้กับเขาคนหนึ่งดีอดดีใจแทบ

เป็นบ้าเป็นหลัง


ต่อไปนี้จะขัดสีฉวีวรรณรับสังคมใหม่ ระดับ ปัญญาชนซะด้วย


พอเข้าไปรายงานตัวก็ถูกเพ่งเล็งจากพวกรุ่นพี่ที่กิน


อุดมคติจอมปลอมอันไร้แก่นสาร คงกะจะแกล้ง ผมเต็มที่ใน ตอนรับน้อง

ใหม่


เพราะท่าทางของผมมันออกจะซ่าส์จนหยดสุดท้ายเหมือนกัน อาทิตย์

เดียวเท่านั้น


ผมและนักศึกษาใหม่กว่า 300 คนก็ตกอยู่ในแดนสนธยา


ถูกรุ่นพี่ทั้งลายครามและรุ่นพี่ที่ยกย่องตัวเองทั้ง ๆ


ที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ขอบ ปากเกณฑ์พวกรุ่นน้อง ไปต่างจังหวัด


เพื่อทำการรับน้องใหม่หรือพูดง่าย ๆ "พิธีซ่อม"


กลั่นแกล้งรุ่นน้องตามความพอใจของตนเองตามประเพณี อันดีงาม

ตั้งแต่โบราณกาล


นับแต่ตั้งมหาวิทยาลัยมาทีเดียว


  .....เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศลักษณะวิชาสถานที่และความศักดิ์

สิทธ์ของปริญญาพวกรุ่น้องถูก


"เกณฑ์" ให้ขึ้นรถออกจากพระนคร


มุ่งตรงไปยังจังหวัดที่มีความเก่าแก่ในประวัติและเต็มไปด้วยโบราณ

สถานวัตถุมากมายอันเป็นพยานหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความเจริญ

รุ่งเรืองางอารยธรรมวัฒนธรรมของชาติมาแต่โบราณ


และรุ่นพี่ก็บังคับให้พักอยู่รวมกันในวังโบราณแห่งหนึ่ง


ซึ่งลานกว้างของวังเก่าแห่งนี้จะเป็นสถานที่ "ซ่อม" รับน้องใหม่ในคืน

วันนี้...


  ....ผมเองกลัวสถานที่ที่วังเวง เงียบสงัด กลัวจนแทบจะร้องไห้

ออกมาอย่างไม่อาย


หมู่พระที่นั่งและท้องพระโรงเก่าแก่ตั้งทะมึน


ในความมืดที่เริ่มโรยตัวมาปกคลุมดูคล้ายกับเป็นภูติผีปีศาจหรือยักษ์ปัก

หลั่นยืนทะมืนจังก้า


ต้นไม้ยืนต้นที่ปลูกรายรอบบริเวณก็สั่นกราว คืนนี้เป็นจันทร์ข้างแรกผลุบ




โผล่ ๆ ไม่ยอมออกจากหมู่ก้อนเมฆ ความมืดจึงได้เปรียบ


ผมนั่งตัวสั่นงันงกอยู่ในกลุ่ม ของน้อง ผู้น่าสงสาร


ผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับผมอีกเป็นร้อยคน


หูแว่วคล้ายเสียงคนเดินไปมาสับสนและตาฝาดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้เห็นคน

เดินผ่านไปมาตรงลานกว้าง


ระหว่างท้องพระโรงกับพระที่นั่งสององค์เห็นเงาวูบวาบและ..อะไรนั่น

ขณะนี้เวลาโพล้เพล้เข้าไต้เข้า


ไฟพวกรุ่นน้องที่นั่งอยู่ที่นอกชานบ้างขั้นบันไดบ้าง กระสับกระส่ายหน้า

ตาไม่มีความสุข


หวาดระแวงกลัวทั้งรุ่นพี่และกลัวสถานที่ไปพร้อมกัน


ส่วนรุ่นพี่ผู้ได้เปรียบถือไพ่ตายในมือจับกลุ่มร่าเริงหวดสุรายาดอง


กันให้เอิกเกริก มันเป็นประเพณีอีกนั่นแหละ


  .....ผมนั่งเกือบปลายแถวมีเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับ

ตัวนั่งถัดไปอีก


2 คน ตาของผมมองไปโดยบังเอิญที่มุมตึกพระที่นั่งซึ่งหัก


เป็นข้อศอกมีนอกชานพาดตามลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาโบราณ


ทันใดนั้นม่านตาของผมก็เบิกกว้างด้วยความสงสัยระคนตกใจกลัว


เพราะผมเห็นร่างของใครก็ไม่รู้ประมาณ 3-4 คน ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นทั้ง

หมด


แต่งตัวเหมือนคนไทยโบราณ สตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น


คือนุ่งผ้าโจงกระเบนลายดอก เสื้อแขนพองยาวจรดข้อศอก ห่มสไบเฉียง

ผ้าสีอ่อน


ผมสยายยาวใบหน้าขาวเสีย จนผิดปกติร่างทั้งหมดแลดูคล้าย ไม่มีน้ำ


หนักเบาหวิวจนจะลอยจากพื้น


  .....ผมสะกิดเพื่อนน้องใหม่ทันทีแต่อ้าว!


เพื่อนกำลังก้มหน้าก้มตาร้องไห้กระซิก ๆ คงไม่รับรู้อะไรหรอก


ตกลงตัวเองเลยตาค้าง


อ้าปากค้างเพราะความฉงนสนเทห์ใจและความกลัวแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ


พอดีกับรุ่นพี่ชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซเพราะฤทธิ์สุรา ผ่านมาที่แถว

ของน้องใหม่


ผมจึงโพล่งออกไปอย่างไม่ทันยั้งคิดว่า


  ... ..พี่ครับ..น้องใหม่ 3-4 คน ยืนอยู่มุมตึกโน่น


ทำไมพี่ไม่เรียกมาเข้าแถวรอขึ้นเขียงเหมือนอย่างพวกผมล่ะครับ แต่งตัว

ก็แปลก


เดาะใส่ชุดไทยโบราณซะด้วยห่มสไบเฉียง โจงกระเบนนั่นยืนอยู่นั่นไง

อ้าว !


หายไปไหนล่ะกว่า พวกผมแต่งชุดขาว สวมไทด์ผู้หญิงชุดนักศึกษา


แต่สามที่คนนี้แต่งชุดไทย ใครกันกว่า รึจะเป็นเจ้าที่มา ปรากฏตัว


ถ้าเป็นเจ้าที่จริงๆ พี่จะซ้อมรับ น้องใหม่เค้ามั้ยครับ ผมอยากรู้..ฮิ ฮิ


  .....ไอ้ปากเสีย ซ่าส์นักรึมึงน่ะ


เดี๋ยวพวกกูจะซ้อมมึงให้คลานนอนหยอดน้ำข้าวต้มเลย เตรียมตัวไว้ให้ดี


นี่มึงโอหังไม่เคารพรุ่นพี่


อวดตีสำนวนตีฝีปากแถมตีเสมอรุ่นพี่เรอะดีแล้วมึงจะได้รู้ดี


รู้ชั่วคืนนี้แหละวะ.. .....ผมหน้าชาไปทั้งแถบปวดแสบปวดร้อนไปทั้งหน้า

ฮึ้ม


ถ้าข้ามีปืนในกระเป๋าจะไม่ปล่อยให้เอ็งยืนตะคอกอยู่อย่างนี้หรอก ถือว่า


เป็นรุ่นพี่ข่มเหงกีนอย่างนี้ทีใครทีมันวะ วันพระไม่มีหนเดียว


ฝากไว้ก่อนเถอะมึง เพื่อนร่วมรุ่นทุกคนหันมามองผมด้วยสายตาสงสาร

เห็นอกเห็นใจ


แต่คงช่วยอะไรไม่ได้ ก็ถูกตบหน้าฟรี


ฉลองความศักดิ์สิทธิ์ของประเพณีต้อนรับน้องใหม่ ไปน่ะซี 2 ทุ่มตรง


วินาทีโหดร้ายทารุณเริ่มขึ้น รุ่นพี่ทุกชั้นปี


นั่งฝั่งตรงข้ามตะโกนสั่งรุ่นน้องให้ทำอะไรต่อมีอะไร ผิดวิสัยเกินความ

สามารถ


คล้ายกันคนบ้าไปก็มี ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจ


ของรุ่นพี่ชายและหญิงซึ่งสามารถกลั่นแกล้งรุ่นน้องให้ทำในสิ่งที่คนดี ๆ


เขาไม่ทำกัน พวกเรากลายเป็นตัวตลกขันไม่ออก มีแต่เสียงร้องไห้


สบถสาบานด่าทอรุ่นพี่ด้วยความเจ็บใจ แค้นใจ อย่างเหลือประมาณ


  ....รุ่นพี่หญิงกลายเป็นแร่ด กรี๊ดกร๊าดตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำ

หยาบคายภาษาตลาด


เมื่อเห็นรุ่นน้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรืออิด ๆ เอื้อน ๆ ไม่ทำตาม


ส่วนรุ่นพี่ผู้ชายซึ่งเมามายแทบไม่มีสติก็ตีหน้ายักษ์ตะโกนดังเสียงแสบ

แก้วหู


ด่ารุ่นน้องชนิดจะกินเลือดกินเนื้อ ดูแล้วสังเวชนี่หรือปัญญาชนที่ สังคม

ยกย่อง


รุ่นน้องผู้หญิงบางคนก็เจอคำสั่งที่เกิดมาไม่เคยนึกว่าจะได้ยิน


ทำตาไม่ได้ก็ร้อง ห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร น่าสงสารเสียที่สุด


จนมาถึงวาระที่รุ่นพี่ที่ตบหน้ามาตะโกนเรียกผม ออกมา "ซ่อม" เดียว

เพื่อความ


ครึกครื้นในหมู่คนป่าเถื่อนและเพื่อแก้แค้น


ที่ผมบังอาจฉีกหน้าแกเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา ..."เฮ้ย


มึงนั่นแหละออกมาจากแถวเดี๋ยวนี้


ซ่าส์นักปากเสียดูหมิ่นเจ้าที่เจ้าทางของวังเก่า รณหาที่ตาย


เห็นมึงชอบร้องรำทำเพลงใช่มั่ยล่ะ มานี่มึงแหงนหน้าดูขื่อหลังคานี่ซิ


หลังคาท้องพระโรงนี่แหละ มึงปีนขึ้นไปบนขื่อเดี่ยวนี้


ปีนเสาขึ้นไปพอถึงขื่อแล้วมึงต้องยืนเต้นระบำบัลเล่ต์ร้องเพลงไปด้วย


แล้วลงท้ายมึงต้องเป็นค้างคาวรู้จักมั้ยไอ้เวร ห้อยหัวลงมา เอาตีนเกี่ยว

ขื่อนะ


เร็ว ๆ ทำตามคำสั่งกูเดียวนี้" …ขัดขืนไม่ได้เสียแล้ว


รุ่นพี่ทาสสุรามายืนออกันที่โคนเสา ผมเลยเอาหลังมือปาดน้ำตาแล้ว

ค่อย ๆ


ออกแรงเอามือทั้งสองข้างเหนี่ยวจับเสาดันตัวเอง ขึ้นไปอย่างลำบาก

ยากเย็น


เหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย วิงเวียนศีรษะใจวาบหวิวเหมือนจะเป็น

ลม ผมกัดฟันกรอดๆ


แข็งใจกระเถิบตัวเองขึ้นไปบนเสาทีละน้อย ๆ


ท่ามกลางเสียงเฮฮาฟังไม่ได้ศัพท์ของรุ่นพี่ที่สะใจที่แกล้งผม


  ..ตาผมลายแทบหมดแรงร่วงลงมาจากเสาหลายต่อหลายครั้ง


รู้สึกว่าหลังคาสูงเหลือเกิน คงไปไม่ไหวตกลงไปคอหักตายแน่ ๆ


แต่กลัวจะเจ็บตัวเพราะพวกรุ่นพี่จึงต้องกัดฟันดันร่างตัวเองขึ้นไป


จนในที่สุดผมก็เกือบถึงขื่อของหลังคาแล้ว เงยหน้าขึ้นไป อีกสัก

ประมาณ 1 ศอก


เท่านั้น แหละผมก็ถึงขื่อ ซึ่งบริเวณนั้นมือ


มีแสงไฟจากข้างล่างส่องลอดขึ้นมาสลัว ๆ พอมองเห็นอะไรได้ราง ๆ

เท่านั้นเอง


  ...โอ๊ย! คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด ผมร้องออกมาจนสุด

เสียง


มีใครไม่รู้นั่งอยู่บนขื่อที่ทอดขวางทางยาว


ตลอดความยาวของหลังคาและรูปทรงของสถาปัตยกรรม คน ๆ นั้นนั่ง

อยู่ก่อนแล้ว


พอผมเงยหน้าขึ้นไปก็พบเข้าจังหน้าชนิดใกล้ชิด ห่างกันไม่ถึงสองศอก

ร่าง ๆ


นั้นนั่งห้อยเท้าทั้ง 2 ข้างอยู่บนมุมขื่อ ซึ่งเป็นรูปสามเหลี่ยม


ทำให้ผมตกใจแทบช็อคแทบขาดใจตาย ด้วยความกลัวในทันที เพราะ


เห็นหน้าคน ๆ


  นั้นอย่างถนัด มีรูปร่างน่ากลัวเป็นที่สุด หัวโตผิดขนาดเกินธรรมดา


โตกว่าร่างกาย เกือบสามเท่า ขนาดของศีรษะ


ใหญ่เกือบเท่าตุ่มหรือโอ่งมังกรหรือกระพ้อมที่เขาเอาไว้ใส่ข้าวเปลือก


เมื่อหัวโตผิดขนาด ปกติขนาดนั้นทำให้ไม่ได้สัดส่วนสมดุล หัวจึงส่ายไป

มา


รอบด้านเหมือนลูกโป่งคนเป่าจนใบโตผูกด้วยสายหนังสติ๊กยางที่ขั้วแล้ว

จับปล่อยไว้บนมือทีเดียว


และใบหน้าของมัน น่าเกลียดน่ากลัว เป็นอย่างยิ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็น

กระเซิง


หยาบเหมือนกาบมะพร้าวหน้าผากยุบลงไปเป็นร่องจนสยดสยองใจ ดวง

ตาพองโต


แดงกล่ำแทบจะหลุด ออกมานอกเบ้า จมูกไม่มี มีแต่เพียงสันจมูกและรูจ

มูก


ทั้งสองปราศจากเนื้อและดั้งจมูก มีเลือกไหลปริ่ม ๆ บริเวณจมูก


โหนกแก้มโปนปากแสยะ อ้าสุดหล้า มีฟันซีกโต ๆ สีดำสนิทปรากฏใน

ปาก


เขี้ยวที่มุมปากแหลมขาววับ และที่ผมแทบ ช็อคไปในทันทีก็คือ ลิ้นของ

คน ๆ นั้น


แลบพุ่งออกมาจากปากใหญ่แบะที่น่าขยะแขยงนั้น


ลิ้นมีสีแดงจัดมันพุ่งออกมาจากปากยากเรื่อย ๆ ยาวลงมาจรดบ่า


และยาวยืดลงต่ำจนถึงบริเวณทรวงอกอยู่แล้ว..พร้อมกับเสียงหัวเราะ

แหบแห้งชวนให้


สยดสยองใจดังออกมาจาก ปากของมัน


  ...ผีหลอก ไม่ใช่คนแน่ ใครเขาจะขึ้นไปนั่งเล่นบนขื่อยามวิกาล


นึกจะร้องให้คนช่วยก็ร้องไม่ออกเสียงมาติดอยู่ตรงคอหอยนี่เอง


ตัวสั่นเท่าชักกระตุกเกือบทั้งร่าง ผมยังพอมีสติอยู่บ้าง


หูจึงได้ยินเสียงตวาดอย่างหยาบคายของรุ่นพี่ตัวแสบซึ่งตะโกนขึ้นมา

จากข้างล่าง


  .."เฮ้ย ปีนต่อซิโว้ย หยุดอยู่ทำไม ใครใช้ให้เอ็งหยุด


ไปต่อให้ได้แล้วเต้นบัลเล่ต์กับเอาหัวห้อยลงมา ตามคำสั่งกูเดี๋ยวนี้


เดี๋ยวเถอะมึง ลงมาโดนอัด" ..ผมหมดความอดทนทุกอย่างทั้งเรี่ยวแรง


เลยตะโกนลงมาข้างล่างอย่างสุดเสียง ไม่กลัวใครอีกแล้วทั้งนั้น " กูไม่

ปีนแล้ว


ช่วยด้วย แน่จริงมึงขึ้นมากับกูบนนี้ซิวะ ขึ้นมาเร็ว ๆ จะได้เห็นกับตา


กูกำลังจะตายอยู่แล้ว ช่วยด้วย " จะไม่ได้ผมด่ารุ่นพี่ได้อย่างไร


เพราะไอ้ตัวนั้น ซึ่งไม่ใส่เสื้อเปลือยท่อนบนเห็นขนดกรุ่งรังทั้งตัว


และนุ่งผ่าหยักรั้งคล้ายสนับเพลากางเกงขาสั้นแบบถกเขมรสีแดง


แจ๊ดมันทำปาฏิหาริย์ ยื่นมือทั้งสองข้างของมัน ออกมาข้างหน้า


คล้ายว่าจะช่วยดึงหรือจับตัวผมให้ขึ้นไปนั่งบนขื่อกับมันนั่นแหละ


แขนสองข้างของมันเล็ก เ***่ยวแห้งมีแต่กระดูก ตะปุ่มตะป่ำ


ไม่มีเนื้อหนังมังสาสีดำ สนิทกลิ่นสาบาสงเหม็น ๆ แห้ง ๆ


พลุ่งออกมาจากแขนและร่างของมันปะทะจมูกผมจนแทบสำลัก


แขนมันยาวยื่นออกมาข้างล่าง 2 ศอกแล้ว และมือก็ถึงหน้าผมพอดี!


  …ผมก็ทำอาการหลับกลางอากาศ สติสัมปชัญญะดับวูบลงใน

พริบตา


นั้นหมดเรี่ยวแรงมือเท้าอ่อนเปลี้ยเลยเสียการทรงตัว หล่นลงมาจากเสา

สูงเกือบ 5


เมตร แต่ชะตาผมยังไม่ถึงฆาต


ร่างหล่นลงมาในกลุ่มของเก้าอีไม้ชำรุดซึ่งวางกองอยู่ที่ด้านหนึ่งของพื้น


สลบคาทีร่างเต็มไปด้วยแผลรวมทั้งศีรษะซึ่งแตกเพราะกระแทกเก้าอี้ถึง

6 แผล


  พิธีซ่อมรับน้องใหม่ชะงักในทันที ทุกคนทั้งพี่น้อง


พอหายจากตกตะลึงก็พากันเข้ามาที่ร่างผมและปฐมพยาบาลเป็นการ

ใหญ่


แต่อาการผมไม่ดีขึ้นปวดเมื่อยขัดยอก ไปทั้งตัว และเลือดจากบาดแผลก็

ไหลไม่หยุด


ลงท้ายรุ่นพี่เลยต้องนำผมส่งโรงพยาบาลในตัวจังหวัดกลางดึกคืนนั้นเอง


  ...สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่มีใครทราบแม้แต่คนเดียว


ผมซึ่งรู้แก่ใจปิดปากเงียบไม่บอกใคร รุ่นพี่เลยเหมาไปว่าผม เหนื่อย


ตรากตรำกับการถูกซ่อม โดยรุ่นพี่เมาหนักเลยหมดแรงเป็นลมตกลงมา

เอง สมน้ำหน้า


ผมกล้ำกลืนความโกรธและ อาฆาตไว้ในใจ


พร้อมสำนึกในความผิดที่ไม่ควรให้อภัยของตนเพราะกล่าววาจาไม่

เคารพสถานที่


ดูถูกดูหมิ่นเจ้าที่เจ้าทาง ผู้คุ้มครองพระราชวังโบราณ แม้จะไม่ได้เจตนา


แต่มันก็ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น เพราะเจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวรมีจริง


  ..และพอกันทีกับประเพณีต้อนรับน้องใหม่ที่เกือบจะพรากชีวิต

ของผมไปจากโลกนี้เสียแล้วผมจะจำคืนวันรับน้องใหม่


คืนนี้ไว้จนตาย ปีหน้าเมื่อผมสอบผ่านชั้นปีที่ 1


ได้ผมจะไม่ยอกมาร่วมพิธีนี้อีกเลยเพราะละอายอดสูใจและผมก็ไม่เคย


ไปปรากฏตัวในงานรับน้อง ใหม่ของนานา มหาวิทยาลัยมาตราบเท่าทุก

วันนี้...
นามปากกา    ลูกพีช

TOP

ขอบคุณมากครับ

TOP