พลันน้องๆหนุ่มล่ำ ลั่นกลองสะบัดชัย พร้อมซุ่มเสียงหนักแน่น ดึงดูดความสนใจ จากนั้นกระทาชาย 3 นายก็ออกมาขยับท่วงท่าลีลาเท้า แบบที่สากลเรียกว่า“เต้นแท็ป” ...และเมื่อการกระโดดโลดรำทั้งหลายจบสิ้น เก๋งเล็กสีส้มคันแรกในตระกูล “อีโคคาร์” ก็ค่อยๆเผยโฉมออกมาจากสายการผลิต | ||||
| ||||
ไล่สเปกของนิสสัน มาร์ช เจเนอเรชันที่ 4ให้ดูกันก่อน กับตัวถังแฮทซ์แบ็ก 5 ประตูขนาดกะทัดรัด มิติกว้าง ยาว สูง 1,665 x 3,780 x 1,515 มิลลิเมตรตามลำดับ ขณะที่ระยะฐานล้อยาว 2,450 มิลลิเมตร น้ำหนักรถโดยประมาณ 900 กิโลกรัม(รุ่น s เกียร์ธรรมดา) ไปจนถึง 965 กิโลกรัม(รุ่นท็อป VL เกียร์CVT) | ||||
| ||||
| ||||
| ||||
เครื่องยนต์เบนซินรหัส HR12DE ขนาด1.2 ลิตร 3 สูบ พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดของวาล์ว ( continuously valve-timing control -CVTC) ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า(ps)ที่ 6000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตรที่ 4400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่องหรือ CVT | ||||
ส่วนออปชันอำนวยความสะดวก ที่เป็นจุดเด่น อย่าง กุญแจอัจฉริยะ(Keyless) ,ระบบป้องการโจรกรรม, กระจกมองข้างพับไฟฟ้าอัตโนมัติ, เซ็นเซอร์ถอยหลัง 4 จุด (Reverse Sensor) แผงหน้าปัดแสดงค่าเฉลี่ยน้ำมันที่ใช้จริง แสดงค่าระยะทางการใช้งาน (cruising range) และอุณหภูมิภายนอก และระบบ Idling Stop ที่จะสั่งให้เครื่องยนต์หยุดทำงานเมื่อมีการจอดรถสนิท ซึ่งทั้งหมดจะมีเฉพาะรุ่นเกียร์ CVT EL และVL เท่านั้น ด้านความปลอดภัยติดตั้ง ถุงลม SRS เป็นมาตรฐานทุกรุ่น ขณะที่รุ่นย่อย V และ VL จะให้ถุงลมคู่หน้า พร้อมเบรก ABS ระบบควบคุมและกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA การทดสอบ “มาร์ช” ทีมงานนิสสัน จัดรุ่นท็อปเกียร์ CVT มาให้ แต่กระนั้นตัวที่เราได้ลองขับยังเป็นรถทดลองประกอบหรือ Pre Production อยู่ เพราะจริงๆแล้วรุ่นเกียร์CVT จะพร้อมส่งมอบจริงๆก็เดือนมิถุนายนโน้นครับ เรื่องหน้าตาไม่ขอพูดถึงแล้วกัน เพราะแล้วแต่ความชอบของท่านเลย ส่วนภายในนั้นจะย้ำนิดเดียวว่า “คุณภาพเป็นไปตามราคา” วัสดุที่นำมาใช้กับพวงมาลัย แผงแดชบอร์ดหน้า แผงประตูด้านข้าง รวมถึงเบาะนั่งแบบผ้า ซีลยางตามขอบประตู ดูไม่เนียนเท่าพวกรถซับคอมแพกต์ญี่ปุ่นที่ขายอยู่ในท้องตลาด แต่กระนั้นก็ดีกว่าพวกรถจีนหรือมาเลเซียแน่นอน อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าภายในกว้างกว่าที่คิด แม้ตำแหน่งคนขับแข้งติดขาเล็กน้อยสำหรับคนสูงเกือบ 180 เซนติเมตร แต่เฮดรูมนี่เหลือเฟือครับ ยิ่งที่นั่งด้านหลังถือว่าสอบผ่าน นั่งสามคนได้สบายๆ สำหรับสนามที่เราใช้ทดสอบอยู่ในพื้นที่โรงงาน (จริงๆนิสสันเตรียมสนามทดสอบเอาไว้เพิ่มอีกหนึ่งจุดซึ่งความยาวสั้นกว่า) ซึ่งเป็นบริเวณที่นิสสันจะนำเอารถหลังการประกอบเสร็จมาลองวิ่งตรวจสอบคุณภาพอยู่แล้ว(ใช้วิธีสุ่ม) แต่งานนี้วางกรวยให้คดเคี้ยวจนได้ระยะทางต่อรอบประมาณ 700-800 เมตร | ||||
| ||||
เมื่อผ่านด่านสลามลอม และการเปลี่ยนเลน ใช้ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ช่วงล่างจะเอาอยู่ แต่พอรู้สึกว่าตัวรถมีการโยกคลอนเล็กน้อยเช่นกัน ที่สำคัญพวงมาลัยไฟฟ้าให้น้ำหนักเบาไปนิด การควบคุมยังไม่คมเท่าไหร่ สวนทางกับความรู้สึกในการกดแป้นเบรกที่ทำได้ยอดเยี่ยม เราขับวนอยู่ 3-4 รอบ ตามสถานการณ์จะอำนวย และมีโอกาสได้ลองระบบ Idling Stop ที่จะสั่งให้เครื่องยนต์จะหยุดทำงานเมื่อรถจอดสนิท ช่วยเรื่องการประหยัดน้ำมัน แต่กระนั้น Idling Stop ที่ใส่เป็นออปชันในมาร์ชบ้านเรา ก็ไม่ได้เทพอย่างที่หลายๆคนหวัง หรือเคยฟังมาว่าระบบมันเหมือนพวกไฮบริด เพราะแท้จริงแล้ว การใช้งานระบบนี้มีหลายเงื่อนไข และปัจจัยตัวแปรพอสมควร อย่างแรกถ้าจะใช้ Idling Stop คุณจำเป็นต้องปิด A/C หรือการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์เสียก่อน (แต่พัดลมทำงานอยู่) นั้นหมายถึงคุณจะต้องทนร้อน หรือไม่ก็เปิดหน้าต่างขับ (อากาศดีก็ไม่ว่ากัน) แต่ถ้าคุณคิดว่าขับไปเรื่อยๆเปิด A/C ให้เย็นช่ำไว้ก่อน จากนั้นพอใกล้ๆจะติดไฟแดงหรือคาดว่ารถจะหยุดแน่ๆค่อยปิดมัน โดยหวังว่า Idling Stop จะมาช่วยคุณ…ได้ครับ แต่มันจะทำงานหลังจากคุณเหยียบเบรก เข้าเกียร์ไปที่ตำแหน่ง P แล้วรอประมาณ 1 นาที เครื่องยนต์ถึงจะดับ อีกกรณีถ้าคุณคิดว่า 1 นาทีมันช้าไป และอยากให้เครื่องยนต์มันดับทันที ตรงนี้ก็มีวิธีเช่นกัน… แต่คุณต้องปิด A/C ตั้งแต่รถจอดอยู่นิ่งสนิท จากนั้นถ้าเริ่มเคลื่อนตัวออกโดยใช้ความเร็วเกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ระบบ Idling Stop จะรู้แล้วว่าคุณต้องการมัน ดังนั้นถ้ามีเหตุให้หยุดรถอีก แล้วทำเงื่อนไขเดิมคือ เหยียบเบรก เข้าเกียร์ P และเท้ายังเหยียบเบรกค้างไว ทีนี้เครื่องยนต์จะดับให้ทันที พร้อมมีไฟสัญลักษณ์สีเขียวติดขึ้นบนแผงหน้าปัดแสดงผลการทำงาน | ||||
| ||||
รวบรัดตัดความ… “มาร์ช” มาด้วยเงื่อนไขในโครงการอีโคคาร์ ซึ่งรัฐบาลสนับสนุน และเป็นทางเลือกที่ไม่อาจมองข้าม ทั้งราคาเอื้อมถึงได้ง่าย จากการให้ภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษ รวมถึงการบริโภคน้ำมันตามข้อกำหนด 20 กิโลเมตรต่อลิตร...น่าสนใจทีเดียว |
ยินดีต้อนรับสู่ หน้าแรก เว็บบอร์ด (http://forum.soodaza.com/) | Powered by Discuz! 6.0.0 |